twitter
rss


ประวัติความเป็นมา
       ชาวไต้หวันได้คิดค้นหลักสูตร Mental Arithmetic หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า จินตคณิต หรือ จินตนาการคณิตคิดเร็ว เมื่อเกือบ 40 ปี มาแล้ว โดยช่วงแรกมีจุดประสงค์เพียงแค่อยากจะคิดเลขให้เร็วขึ้น นำไปใช้ในการเรียนและการค้าขาย ซึ่งในไต้หวันปกติจะใช้ลูกคิดจีนเป็นหลัก  แต่ลูกคิดญี่ปุ่นมีหลักทดสั้นกว่าลูกคิดจีน นั่นหมายความว่าโดยหลักการแล้วลูกคิดญี่ปุ่นจะคิดเลขได้เร็วกว่าลูกคิดจีน   แรกๆ ก็จะทำการดีดลูกคิดตามหลัก บวก ลบ คูณ หาร จนคล่องจากง่ายไปยาก แล้วเมื่อดีดจนชำนาญ บางครั้งไม่ต้องดีดลูกคิดจริงเลย เพราะสามารถดีดในใจได้ ซึ่งช่วงแรกเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่เรียนและก็เริ่มขยายมาสู่เด็ก จนมีการเปรียบเทียบผลการเรียน ปรากฏว่าเด็กๆ นั้นสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ และมีการเปลี่ยนแปลงต่อการเรียนรู้ของเด็ก จึงได้จัดทำหลักการเรียนการสอนอย่างจริงจัง และมีการวิจัยผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมอง จนในที่สุดรัฐบาลไต้หวันตระหนักถึงคุณค่าของหลักสูตรดังกล่าว ถึงกับบรรจุหลักสูตร Mental Arithmetic ไปไว้ในหลักสูตรของประเทศ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนของไต้หวัน ทำให้การเรียนหลักสูตรนี้เผยแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไต้หวัน และมีการกระจายออกไปยังต่างประเทศ กว่า 30 ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย อินเดีย อเมริกา แคนาดา บราซิล เป็นต้น ประเทศแรกๆ คือ ญี่ปุ่น ซึ่งก็มีการเรียนหลักสูตรนี้อย่างกว้างขวางจนกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน สิงคโปร์ก็เป็นประเทศหนึ่งที่บรรจุหลักสูตรเข้าไปในหลักสูตรของชาติเพื่อหวังว่าจะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการพัฒนาคนของตน  ทุกครั้งที่คิดเลขในใจโดยใช้หลักสูตร Mental Arithmetic สมองซีกขวาจะทำงานอย่างเห็นได้ชัด ( โปรดดูบทความทฤษฏี ซูซูกิ ) ผู้เรียนจะบันทึกภาพลูกคิดไปไว้ในสมองซีกขวา และเมื่อเริ่มการคำนวณ ผู้เรียนจะเข้าใจความหมายของตัวเลขผ่านทางสมองซีกซ้ายแล้วแปลความหมายนั้นเป็นภาพลูกคิด แล้วทำการดีดเม็ดลูกคิดในจินตนาการ อย่างเป็นขั้นตอน จนได้คำตอบ โดยกระบวนการที่ผ่านมาดังกล่าว จะใช้การประสานงานกันระหว่างสมองทั้ง 2 ซีก เมื่อยิ่งเรียนในระดับที่ยากมากขึ้นและมีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การพัฒนาสมองมีระดับที่ใกล้เคียงกัน  
        มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าของตนเพื่อช่วยในการคำนวณ และพัฒนามาใช้อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ลูกหิน ใช้เชือกร้อยลูกหินคล้ายลูกคิดจนมาถึงลูกคิด ประวัติความเป็นมาของลูกคิดเท่าที่หาได้ แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ
แนวทางที่ 1 กล่าวว่า จากหลักฐานประวัติศาสตร์พบว่า ลูกคิดเป็นเครื่องคำนวณที่ชาวจีนใช้กันมากว่า 7,000ปี และใช้กันในอียิปต์โบราณมากว่า 2,500 ปี
 แนวทางที่ 2 กล่าวว่าในระยะที่ 5,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มรู้จักใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าของตน เพื่อช่วยในการคำนวณ และพัฒนา มาใช้อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ลูกหิน ใช้เชือกร้อยลูกหินคล้ายลูกคิด ต่อมาประมาณ 2,600 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวจีนได้ประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อในการคำนวณขึ้นมาชนิดหนึ่ง เรียกว่า ลูกคิด
            ลูกคิดมีชื่อเรียกว่า ซว่านผาน เป็นสิ่งประดิษฐ์ของจีนเมื่อกว่า 700 ปีก่อน ถือกันว่าลูกคิดเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นที่ 5 ของจีน เรียงลงมาจากกระดาษ การพิมพ์ หนังสือ เข็มทิศ และดินระเบิด ลูกคิดมีวิวัฒนาการมาจากกระดานไม้สำหรับนับเบี้ยโบราณเมื่อกว่า 2,000 ปีก่อน เรียกว่า จูซว่าน เริ่มต้นมีเพียงแต่การบวกและลบเท่านั้น ต่อมาปลายยุคถังจึงพัฒนามาเป็นการคูณและการหาร เมื่อแพร่หลายมากๆ ก็มีคนคิดสูตรออกมาให้ท่อง คงคล้ายกับการท่องสูตรคูณ กระดานคิดเลขพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับธุรกิจการค้าการขาย
            ลูกคิดเป็นเครื่องคำนวณเครื่องแรกที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ใช้ช่วยในการคำนวณที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและยังคงใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน พัฒนาการของอุปกรณ์ในปัจจุบันที่มีพื้นฐานมาจากลูกคิด ก็คือ เครื่องคิดเลข และคอมพิวเตอร์   ลูกคิดญี่ปุ่นพัฒนามาจากลุกคิดจีนที่เข้าสู่ญี่ปุ่นในราวศตวรรษที่ 15 ลักษณะของลูกคิดมีขนาดเล็กพกพาได้สะดวก คำนวณได้รวดเร็ว มีลูกคิด 5 ลูก เหนือเส้นแบ่ง 1 ลูก และอยู่ใต้เส้นแบ่ง 4 ลูก สามารถใช้ในการคำนวณทักษะทางคณิตศาสตร์ได้ทั้งหมด การใช้ลูกคิดแบบญี่ปุ่นในการคำนวณ พบว่า สามารถช่วยให้นักเรียนคิดเลขได้เร็วขึ้น มีสมาธิในการเรียน สมองทั้งสองซีกได้รับการพัฒนาอย่างสมดุลมีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยรวมดีขึ้น   ลูกคิดที่ยังใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ คือ ลูกคิดจีน และลูกคิดญี่ปุ่น ลักษณะลูกคิดของจีนคือตัวนับข้างบน 2 แถว ข้างล่าง 5 แถว ขณะที่ลูกคิดของญี่ปุ่นมีตัวนับข้างบน 1 แถว ข้างล่าง 4 แถว แม้ลูกคิดจะเป็นอุปกรณ์คำนวณสมัยเก่า แต่ก็มีความสามารถในการคำนวณเลขได้ทุกระบบ
             สำหรับสถาบันคณิตล้านนา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 ด้วยหลักปรัชญาเสริมสร้างสติปัญญา พัฒนาสมาธิ ให้เด็กไทยเติบโตเป็นบุลากรที่มีคุณภาพในอนาคต
ื              สถาบันคณิตล้านนา ตั้งอยู่เลขที่ 113 ถนนรัตนโกสินทร์ ตำบลวัดเกตุ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ใกล้สี่แยกทุ่งโฮเต็ล เยื้องโรงเรียนดาราวิทยาลัย
           สถาบันคณิตล้านนาเจ้าของหลักสูตร ซุปเปอร์ คิด หลักสูตรที่ใช้นิ้วมือ และลูกคิดแบบญี่ปุ่น และเป็นสถาบันแห่งเดียวในประเทศไทยที่ใช้นิ้วมือเป็นสื่อใกล้ตัวที่สุดมาใช้เป็นเครื่องมือในการคิดคำนวณ  
          หลักสูตรคณิตคิดเร็ว ซุปเปอร์ คิด เปิดสอนครั้งแรกที่โรงเรียนล้านนากวดวิชาในจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากนักเรียน และผู้ปกครองเป็นอย่างดี และเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าประทับใจ คือเด็กที่เรียนผ่านหลักสูตรนี้สามารถพัฒนาทักษะการคิด คำนวณเลขได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ รวมไปถึงมีพัฒนาการทางด้านภาวะทางอารมณ์ ( EQ ) และมีสมาธิยิ่งขึ้น ก่อนที่นักเรียนจะได้เรียนหลักสูตรนี้ เด็กนักเรียนบางคนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ ส่งผลถึงเกลียดครูผู้สอนไปด้วย แต่เมื่อเด็กได้พบหลักสูตรคณิตคิดเร็ว ซุปเปอร์ คิด แล้วปรากฏว่าเด็กสนุกสนานไปกับการเรียน ไม่เครียด ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ และมีทัศนะคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์มากยิ่งขึ้นด้วย
            ทางสถาบันพบว่ามีเด็กนักเรียนจำนวนมากที่ต้องการเรียนหลักสูตรคณิตคิดเร็ว ซุปเปอร์ คิด แต่มีเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ได้เรียน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และบางส่วนอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งทางสถาบันคณิตล้านนาได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงมีนโยบายที่เผยแพร่หลักสูตรดังกล่าวให้แก่โรงเรียนต่างๆ โดยไม่มีการแบ่งชนชั้น ฐานะ มุ่งเน้นให้นักเรียนทุกคนได้เรียนในหลักสูตรคณิตคิดเร็ว ซุปเปอร์ คิด ได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงทุกคน
         ปี 2539 ทางสถาบันคณิตล้านนา จึงเริ่มขยายเผยแพร่หลักสูตรวิชาคณิตคิดเร็ว ซุปเปอร์ คิด เข้าสู่โรงเรียนพระหฤทัยเชียงใหม่เป็นแห่งแรก ต่อมาได้เริ่มขยายไปยังอำเภอรอบนอกและจังหวัดใกล้เคียงในเขตภาคเหนือตอนบน และมีโครงการที่จะขยายต่อไปในจังหวัดอื่นๆให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น