twitter
rss

เราเรียนคณิตศาสตร์ไปเพื่ออะไร          เป้าหมายสูงสุดของการเรียนคณิตศาสตร์ก็คือ การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน< และการนำไปใช้เป็นพื้นฐานการศึกษาวิชาชีพต่าง ๆ   หลายคนอาจสงสัยว่า ไม่เห็นต้องเรียนคณิตศาสตร์มากนัก บวก ลบ คูณหาร
จำนวนเราก็มีเครื่องคิดเลขใช้แล้ว นับว่าเป็นความเข้าใจผิด คณิตศาสตร์มิใช่เพียงต้องให้คิดคำนวณเกี่ยวกับตัวเลขเท่านั้น  ในโลกยุคปัจจุบันเมื่อเราเรียนคณิตศาสตร์เราควรได้คุณสมบัติต่อไปนี้จากการเรียน
          1. ความสามารถในการสำรวจ
          2. ความสามารถในการคาดเดา
          3. ความสามารถในการให้เหตุผล
          4. ความสามารถในการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาที่ไม่เคยพบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      คุณสมบัตินี้เรียกว่าศักยภาพทางคณิตศาสตร์ ( Mathematical Power )ไม่ว่าเราจะมีอาชีพอะไรถ้าเรามีคุณสมบัตินี้  เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีศักยภาพทางคณิตศาสตร์
      การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ถ้าเราถูกสอนโดยวิธีครูบอกความรู้ หรือเทคนิคลัด ๆ ให้ท่องจำ นำไปใช้โดยปราศจากความเข้าใจ ไม่รู้ที่มา ไม่รู้เหตุผล  เราก็จะไม่ได้คุณสมบัติดังกล่าว   อะไรคือหัวใจสำคัญของคณิตศาสตร์  เมื่อเราเรียนคณิตศาสตร์ไปจนถึงระดับมัธยมศึกษา เราควรได้สิ่งต่อไปนี้
          1. มีความรู้ใน คำศัพท์ บทนิยาม หลักการ ทฤษฎีบท  โครงสร้าง วิธีการ
          2. มีความเข้าใจ ในความคิดรวบยอดจนสามารถอธิบายได้ หรือเขียนได้ หรือยกตัวอย่างได้  แปลงปัญหาจากรูป  หนึ่งไปสู่รูปหนึ่งได้ ประมาณคำตอบได้ ระบุความสัมพันธ์ได้  ตรวจสอบผลที่เกิดได้
          3. มีทักษะต่าง ๆ ดังนี้  ทักษะการแก้ปัญหา การนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง การคิดอย่างมีเหตุผล การคิดคำนวณ  การวัด การประมาณ  การอ่านและแปลผลข้อมูล การนำเสนอข้อมูล การทำนาย  และการใช้คอมพิวเตอร์
          4. มีความสามารถในการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้

เราจะมีวิธีเรียนคณิตศาสตร์อย่างไรให้ได้ดี          เราต้องเริ่มฝึกฝนการเป็นผู้เรียนที่ดี
          1. เวลาฟังครู หรือเวลาอ่าน ต้อง คิด ถาม จด  ถ้าไม่เข้าใจควรจดคำถามไว้เพื่อคิดค้นคว้า หรือถามผู้รู้ต่อไป
          2. หมั่นดูหนังสือหรือทำการบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ ควรหามุมอ่านหรือทำการบ้านที่เหมาะสมกับตนเอง
          3. จัดเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เรียนมา หรืออ่านล่วงหน้าสิ่งที่จะเรียนต่อไป และถ้าปฏิบัติตามที่กำหนดได้ควรให้ รางวัลตัวเอง เช่น ได้ขนม ได้เล่น ได้ฟังเพลง ดูทีวี ได้เล่นกีฬา เป็นต้น ถ้าทำไม่ได้ตามกำหนดควรหาเวลาชดเชย
          4. ทบทวนความรู้กับเพื่อน อย่าหวงวิชา แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อย่าช่วยเหลือเพื่อนในทางที่ผิด เช่น ทุจริตเวลาสอบ หรือให้ลอกงานโดยไม่เข้าใจ
          5. ศึกษาด้วยตนเอง มิใช่ต้องเรียนจากครูเพียงอย่างเดียว การศึกษาด้วยตนเองจากตำราหลายๆ เล่ม ต้องทำ ความเข้าใจจดสาระสำคัญต่าง ๆ ลงในโน้ตย่อ จดสิ่งที่ไม่เข้าใจไว้ค้นคว้าต่อไป
         ถ้าต้องการเชี่ยวชาญ คณิตศาสตร์ ต้องหมั่นหาโจทย์แปลกใหม่มาทำมาก ๆ เช่นโจทย์แข่งขันเป็นต้น

          ทำอย่างไรเราจะจำได้ดี          เราต้องเรียนด้วยความเข้าใจเสียก่อน จากนั้นเราต้องหมั่นทบทวน   ก่อนอื่นเราจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ การจำการลืมก่อน จากการศึกษาของนักจิตวิทยาเกี่ยวกับการจำการลืมของมนุษย์พบว่า คนเรามีอัตราการจำหรือลืมดังข้อมูลข้างล่างนี้

      จากการทดลองของนักจิตวิทยา พบว่าเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งวัน เราจะจำเรื่องราวที่ตนอ่านไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งของที่เหลือทุก  7 วัน   จนในที่สุดจะนึกไม่ออกเลย
           การที่จะให้สิ่งที่เรียนมาไปอยู่ติดตัวเราได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราควรกลับไปทบทวนทันทีที่เราเรียนในแต่ละวัน จากนั้นเราทิ้งช่วงไปทบทวนรวบยอดในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เพื่อมิให้เกิน 7 วัน จากนั้นเราทิ้งช่วงเป็น 2 สัปดาห์ควรทวนอีกครั้ง และเมื่อผ่านไป 1 เดือนควรทบเรารวบยอดทวนอีกครั้งตอนสอบกลางเทอม อย่าลืมว่าความรู้ใหม่ที่เรารับเข้าไปในแต่ละวันจะมีพอกพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ เราควรทำโน้ตย่อสาระสำคัญรวบรวมบทนิยาม สูตร กฎ และวิธีการ  เราทบทวนจากโน้ตย่อจะช่วยให้เราเสียเวลาทบทวนน้อยลง
    ทำไมเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์
         มีหลายสาเหตุ บางคนไม่ชอบเพราะไม่ถนัด มันยากเกินไป ไม่ชอบคิด พวกนี้ไม่ค่อยจะประสบผลสำเร็จในการทำแบบฝึกหัด  มักทำไม่ได้หรือทำผิดบ่อย ๆ จึงท้อแท้ เบื่อหน่าย และเกลียดในที่สุด  บางคนไม่ชอบเพราะครูสอนไม่เข้าใจ สอนไม่สนุก ครูดุ จู้จี้ขี้บ่น ให้การบ้านเยอะ

        ทางแก้อยู่ที่ครูจะต้องสำรวจว่าเด็กไม่ชอบคณิตศาสตร์เพราะอะไร ครูต้องปรับปรุงการสอนทำของยากให้เป็นของง่าย ทำของน่าเบื่อหน่ายให้น่าสนุก และควรปรับปรุงบุคลิกให้ไม่ดุจนเกินไป ไม่เจ้าระเบียบมากจนเกินเหตุ การบ้านก็มีแต่พอควร เลือกให้เด็กทำสิ่งที่สำคัญและจำเป็นก่อน 

          ถ้าเราเลือกครูไม่ได้ บังเอิญเราต้องเรียนกับครูที่สอนไม่รู้เรื่อง สอนไม่สนุก ดุ จู้จี้ขี้บ่น   เราต้องหาตำราหลาย ๆ เล่มมาศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เมื่อไม่เข้าใจให้ปรึกษาผู้รู้ ถามกันอธิบายกันในหมู่เพื่อน ๆ เราอดทนในที่สุดเราจะพบว่า เราเป็นคนเก่งคนหนึ่ง
บทเรียนคณิตศาสตร์อะไรที่มีปัญหามากที่สุด        เรื่องที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ โจทย์ปัญหาทุกเรื่อง วิธีการเรียนเรื่องนี้ให้ได้ดีต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจโจทย์เสียก่อน มีคำศัพท์อะไรที่เราไม่รู้จักหรือลืม มีข้อความตอนใดที่เราไม่เข้าใจ เราต้องทำความเข้าใจก่อน  โจทย์ถามอะไร และโจทย์กำหนดอะไรมาให้บ้าง อาจวาดภาพช่วย อาจสร้างตารางช่วย 
          ขั้นต่อไปวางแผนแก้ปัญหา และดำเนินการแก้ปัญหา และสุดท้ายเราต้องตรวจสอบคำตอบ ขั้นตอนที่กล่าวมานี้ แนะนำโดย จอร์จ โพลยา ได้รับความนิยมมากว่า 50 ปี ที่สำคัญเราควรฝึกการแก้ปัญหาที่หลากหลายเพื่อสะสมประสบการณ์ยุทธวิธีการแก้ปัญหา
            ตัวอย่างปัญหาในระดับมัธยมศึกษาที่เด็กในระดับประถมศึกษาก็แก้ได้  ? มีนกและหนูรวมกัน 15 ตัว นับขารวมกันได้ 40 ขา ถามว่ามีนกและหนูอย่างละกี่ตัว ?  เด็กระดับมัธยมศึกษาขึ้นไปมักจะใช้วิธีแก้สมการ เด็กระดับประถมศึกษาจะใช้วิธีวาดภาพ หัว 15 หัว แล้วเติมขาทีละ 2 ขา ได้ 30 ขา เหลือขาอีก 10 ขา นำไปเติมจะได้หนู 5 ตัว เด็กบางคนใช้วิธีลองผิดลองถูกเช่นสมมุติว่ามี นก 7 ตัว มีหนู 8 ตัว แล้วคำนวณขาว่าได้ 40 ขา หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ลดหรือเพิ่มจำนวนตัวสัตว์ไปเรื่อย ๆ ก็จะพบคำตอบซึ่งอาจช้า บางคนอาจสร้างตารางแจงนับทุกรูปแบบเริ่มตั้งแต่ นก 1 ตัว หนู 14 ตัว  จนถึงนก 14 ตัว หนู 1 ตัว แล้วตรวจสอบนับจำนวนขาจะได้คำตอบเช่นกัน 

    จะมีวิธีเตรียมตัวสอบอย่างไร          วิธีหนึ่งสำหรับคนที่มีเวลาน้อย เริ่มด้วยการทบทวนบทนิยาม สูตร กฎ วิธีการจากโน้ตย่อ จากนั้นทบทวนวิธีการแก้ปัญหาจากโจทย์ปัญหาโดยนึกว่าแผนการแก้ปัญหาสำหรับโจทย์ข้อนี้จะเป็นอย่างไรแล้วตรวจสอบจากเฉลยที่เราทำแบบฝึกหัดไว้ เราไม่ต้องลงมือแก้ปัญหาจริง เพียงแต่คิดวิธีการโดยเฉพาะข้อยากเราต้องคิดก่อน  แต่ถ้าเรามีเวลามากเราก็อาจทบทวนโดยลงมือแก้ปัญหาอีกครั้งก็จะทำให้เราได้ฝึกฝนความแม่นยำ
คนที่เก่งคณิตศาสตร์จะมีประโยชน์อย่างไร 
        คนที่เก่งคณิตศาสตร์มีประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง เพราะคณิตศาสตร์มิใช่เป็นเพียงราชินีของวิทยาศาสตร์ดังเช่นที่เกาส์นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวไว้ในอดีตเท่านั้น ปัจจุบันคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานของศาสตร์อีกหลายสาขาเช่น  วิศวกรรมศาสตร์  เศรษฐศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ เราลองนึกภาพถ้าเรามีเกษตรกรที่เก่งคณิตศาสตร์ เราคงจะได้ปุ๋ยสูตรใหม่ ๆ การกำจัดแมลงวิธีใหม่  หรือพืชพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพเหมาะกับบ้านเรา หรือการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทำเกษตรกรรมอย่างคุ้มค่า ตลอดจนแปรรูปผลิตผลทางเกษตรให้เป็นสินค้าที่จะนำรายได้สู่ครอบครัวหรือประเทศ เรามีคนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้น้อยมาก       ประเทศชั้นนำของโลกให้ความสำคัญต่อคณิตศาสตร์อย่างยิ่ง บางประเทศพัฒนาเด็กจนสามารถมีเด็กเก่งคณิตศาสตร์ได้ถึงร้อยละ 40 เช่นสิงคโปร์ ไต้หวัน บางประเทศถ้าเห็นว่าคณิตศาสตร์ของประเทศตนแย่ลงเพียงเล็กน้อยก็จะทุ่มเทให้ความสำคัญเช่นสหรัฐอเมริกา แต่ประเทศเรามีคนเก่งคณิตศาสตร์ตามธรรมชาติปริมาณไม่เกินร้อยละ3 โดยที่ความเก่งนั้นเมื่อเทียบกับต่างประเทศเรายังอยู่ในอันดับท้าย ๆ เราให้ความสำคัญในด้านนี้น้อยเกินไป ประเทศเรามีนักคณิตศาสตร์ประมาณ 30 คน มีคนเล่าว่าเวียตนามมีถึง 600 คน ปัจจุบันเราต้องจ้างศาตราจารย์ทางคณิตศาสตร์ชาวเวียตนามมาสอนในมหาวิทยาลัย

ที่มา :  http://www.a2code.com/viewthread.php?tid=2475


ประวัติความเป็นมา
       ชาวไต้หวันได้คิดค้นหลักสูตร Mental Arithmetic หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า จินตคณิต หรือ จินตนาการคณิตคิดเร็ว เมื่อเกือบ 40 ปี มาแล้ว โดยช่วงแรกมีจุดประสงค์เพียงแค่อยากจะคิดเลขให้เร็วขึ้น นำไปใช้ในการเรียนและการค้าขาย ซึ่งในไต้หวันปกติจะใช้ลูกคิดจีนเป็นหลัก  แต่ลูกคิดญี่ปุ่นมีหลักทดสั้นกว่าลูกคิดจีน นั่นหมายความว่าโดยหลักการแล้วลูกคิดญี่ปุ่นจะคิดเลขได้เร็วกว่าลูกคิดจีน   แรกๆ ก็จะทำการดีดลูกคิดตามหลัก บวก ลบ คูณ หาร จนคล่องจากง่ายไปยาก แล้วเมื่อดีดจนชำนาญ บางครั้งไม่ต้องดีดลูกคิดจริงเลย เพราะสามารถดีดในใจได้ ซึ่งช่วงแรกเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่เรียนและก็เริ่มขยายมาสู่เด็ก จนมีการเปรียบเทียบผลการเรียน ปรากฏว่าเด็กๆ นั้นสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ และมีการเปลี่ยนแปลงต่อการเรียนรู้ของเด็ก จึงได้จัดทำหลักการเรียนการสอนอย่างจริงจัง และมีการวิจัยผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมอง จนในที่สุดรัฐบาลไต้หวันตระหนักถึงคุณค่าของหลักสูตรดังกล่าว ถึงกับบรรจุหลักสูตร Mental Arithmetic ไปไว้ในหลักสูตรของประเทศ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนของไต้หวัน ทำให้การเรียนหลักสูตรนี้เผยแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไต้หวัน และมีการกระจายออกไปยังต่างประเทศ กว่า 30 ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย อินเดีย อเมริกา แคนาดา บราซิล เป็นต้น ประเทศแรกๆ คือ ญี่ปุ่น ซึ่งก็มีการเรียนหลักสูตรนี้อย่างกว้างขวางจนกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน สิงคโปร์ก็เป็นประเทศหนึ่งที่บรรจุหลักสูตรเข้าไปในหลักสูตรของชาติเพื่อหวังว่าจะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการพัฒนาคนของตน  ทุกครั้งที่คิดเลขในใจโดยใช้หลักสูตร Mental Arithmetic สมองซีกขวาจะทำงานอย่างเห็นได้ชัด ( โปรดดูบทความทฤษฏี ซูซูกิ ) ผู้เรียนจะบันทึกภาพลูกคิดไปไว้ในสมองซีกขวา และเมื่อเริ่มการคำนวณ ผู้เรียนจะเข้าใจความหมายของตัวเลขผ่านทางสมองซีกซ้ายแล้วแปลความหมายนั้นเป็นภาพลูกคิด แล้วทำการดีดเม็ดลูกคิดในจินตนาการ อย่างเป็นขั้นตอน จนได้คำตอบ โดยกระบวนการที่ผ่านมาดังกล่าว จะใช้การประสานงานกันระหว่างสมองทั้ง 2 ซีก เมื่อยิ่งเรียนในระดับที่ยากมากขึ้นและมีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การพัฒนาสมองมีระดับที่ใกล้เคียงกัน  
        มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าของตนเพื่อช่วยในการคำนวณ และพัฒนามาใช้อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ลูกหิน ใช้เชือกร้อยลูกหินคล้ายลูกคิดจนมาถึงลูกคิด ประวัติความเป็นมาของลูกคิดเท่าที่หาได้ แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ
แนวทางที่ 1 กล่าวว่า จากหลักฐานประวัติศาสตร์พบว่า ลูกคิดเป็นเครื่องคำนวณที่ชาวจีนใช้กันมากว่า 7,000ปี และใช้กันในอียิปต์โบราณมากว่า 2,500 ปี
 แนวทางที่ 2 กล่าวว่าในระยะที่ 5,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มรู้จักใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าของตน เพื่อช่วยในการคำนวณ และพัฒนา มาใช้อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ลูกหิน ใช้เชือกร้อยลูกหินคล้ายลูกคิด ต่อมาประมาณ 2,600 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวจีนได้ประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อในการคำนวณขึ้นมาชนิดหนึ่ง เรียกว่า ลูกคิด
            ลูกคิดมีชื่อเรียกว่า ซว่านผาน เป็นสิ่งประดิษฐ์ของจีนเมื่อกว่า 700 ปีก่อน ถือกันว่าลูกคิดเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นที่ 5 ของจีน เรียงลงมาจากกระดาษ การพิมพ์ หนังสือ เข็มทิศ และดินระเบิด ลูกคิดมีวิวัฒนาการมาจากกระดานไม้สำหรับนับเบี้ยโบราณเมื่อกว่า 2,000 ปีก่อน เรียกว่า จูซว่าน เริ่มต้นมีเพียงแต่การบวกและลบเท่านั้น ต่อมาปลายยุคถังจึงพัฒนามาเป็นการคูณและการหาร เมื่อแพร่หลายมากๆ ก็มีคนคิดสูตรออกมาให้ท่อง คงคล้ายกับการท่องสูตรคูณ กระดานคิดเลขพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับธุรกิจการค้าการขาย
            ลูกคิดเป็นเครื่องคำนวณเครื่องแรกที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ใช้ช่วยในการคำนวณที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและยังคงใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน พัฒนาการของอุปกรณ์ในปัจจุบันที่มีพื้นฐานมาจากลูกคิด ก็คือ เครื่องคิดเลข และคอมพิวเตอร์   ลูกคิดญี่ปุ่นพัฒนามาจากลุกคิดจีนที่เข้าสู่ญี่ปุ่นในราวศตวรรษที่ 15 ลักษณะของลูกคิดมีขนาดเล็กพกพาได้สะดวก คำนวณได้รวดเร็ว มีลูกคิด 5 ลูก เหนือเส้นแบ่ง 1 ลูก และอยู่ใต้เส้นแบ่ง 4 ลูก สามารถใช้ในการคำนวณทักษะทางคณิตศาสตร์ได้ทั้งหมด การใช้ลูกคิดแบบญี่ปุ่นในการคำนวณ พบว่า สามารถช่วยให้นักเรียนคิดเลขได้เร็วขึ้น มีสมาธิในการเรียน สมองทั้งสองซีกได้รับการพัฒนาอย่างสมดุลมีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยรวมดีขึ้น   ลูกคิดที่ยังใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ คือ ลูกคิดจีน และลูกคิดญี่ปุ่น ลักษณะลูกคิดของจีนคือตัวนับข้างบน 2 แถว ข้างล่าง 5 แถว ขณะที่ลูกคิดของญี่ปุ่นมีตัวนับข้างบน 1 แถว ข้างล่าง 4 แถว แม้ลูกคิดจะเป็นอุปกรณ์คำนวณสมัยเก่า แต่ก็มีความสามารถในการคำนวณเลขได้ทุกระบบ
             สำหรับสถาบันคณิตล้านนา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 ด้วยหลักปรัชญาเสริมสร้างสติปัญญา พัฒนาสมาธิ ให้เด็กไทยเติบโตเป็นบุลากรที่มีคุณภาพในอนาคต
ื              สถาบันคณิตล้านนา ตั้งอยู่เลขที่ 113 ถนนรัตนโกสินทร์ ตำบลวัดเกตุ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ใกล้สี่แยกทุ่งโฮเต็ล เยื้องโรงเรียนดาราวิทยาลัย
           สถาบันคณิตล้านนาเจ้าของหลักสูตร ซุปเปอร์ คิด หลักสูตรที่ใช้นิ้วมือ และลูกคิดแบบญี่ปุ่น และเป็นสถาบันแห่งเดียวในประเทศไทยที่ใช้นิ้วมือเป็นสื่อใกล้ตัวที่สุดมาใช้เป็นเครื่องมือในการคิดคำนวณ  
          หลักสูตรคณิตคิดเร็ว ซุปเปอร์ คิด เปิดสอนครั้งแรกที่โรงเรียนล้านนากวดวิชาในจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากนักเรียน และผู้ปกครองเป็นอย่างดี และเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าประทับใจ คือเด็กที่เรียนผ่านหลักสูตรนี้สามารถพัฒนาทักษะการคิด คำนวณเลขได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ รวมไปถึงมีพัฒนาการทางด้านภาวะทางอารมณ์ ( EQ ) และมีสมาธิยิ่งขึ้น ก่อนที่นักเรียนจะได้เรียนหลักสูตรนี้ เด็กนักเรียนบางคนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ ส่งผลถึงเกลียดครูผู้สอนไปด้วย แต่เมื่อเด็กได้พบหลักสูตรคณิตคิดเร็ว ซุปเปอร์ คิด แล้วปรากฏว่าเด็กสนุกสนานไปกับการเรียน ไม่เครียด ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ และมีทัศนะคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์มากยิ่งขึ้นด้วย
            ทางสถาบันพบว่ามีเด็กนักเรียนจำนวนมากที่ต้องการเรียนหลักสูตรคณิตคิดเร็ว ซุปเปอร์ คิด แต่มีเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ได้เรียน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และบางส่วนอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งทางสถาบันคณิตล้านนาได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงมีนโยบายที่เผยแพร่หลักสูตรดังกล่าวให้แก่โรงเรียนต่างๆ โดยไม่มีการแบ่งชนชั้น ฐานะ มุ่งเน้นให้นักเรียนทุกคนได้เรียนในหลักสูตรคณิตคิดเร็ว ซุปเปอร์ คิด ได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงทุกคน
         ปี 2539 ทางสถาบันคณิตล้านนา จึงเริ่มขยายเผยแพร่หลักสูตรวิชาคณิตคิดเร็ว ซุปเปอร์ คิด เข้าสู่โรงเรียนพระหฤทัยเชียงใหม่เป็นแห่งแรก ต่อมาได้เริ่มขยายไปยังอำเภอรอบนอกและจังหวัดใกล้เคียงในเขตภาคเหนือตอนบน และมีโครงการที่จะขยายต่อไปในจังหวัดอื่นๆให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป





ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=ifCzp6FUgCI วันที่ 30 สิงหาคม 2554


เราเรียนคณิตศาสตร์ไปเพื่ออะไร
          เป้าหมายสูงสุดของการเรียนคณิตศาสตร์ก็คือ การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน< และการนำไปใช้เป็นพื้นฐานการศึกษาวิชาชีพต่าง ๆ   หลายคนอาจสงสัยว่า ไม่เห็นต้องเรียนคณิตศาสตร์มากนัก บวก ลบ คูณหาร
จำนวนเราก็มีเครื่องคิดเลขใช้แล้ว นับว่าเป็นความเข้าใจผิด คณิตศาสตร์มิใช่เพียงต้องให้คิดคำนวณเกี่ยวกับตัวเลขเท่านั้น  ในโลกยุคปัจจุบันเมื่อเราเรียนคณิตศาสตร์เราควรได้คุณสมบัติต่อไปนี้จากการเรียน
          1. ความสามารถในการสำรวจ
          2. ความสามารถในการคาดเดา
          3. ความสามารถในการให้เหตุผล
          4. ความสามารถในการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาที่ไม่เคยพบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      คุณสมบัตินี้เรียกว่าศักยภาพทางคณิตศาสตร์ ( Mathematical Power )ไม่ว่าเราจะมีอาชีพอะไรถ้าเรามีคุณสมบัตินี้  เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีศักยภาพทางคณิตศาสตร์
      การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ถ้าเราถูกสอนโดยวิธีครูบอกความรู้ หรือเทคนิคลัด ๆ ให้ท่องจำ นำไปใช้โดยปราศจากความเข้าใจ ไม่รู้ที่มา ไม่รู้เหตุผล  เราก็จะไม่ได้คุณสมบัติดังกล่าว   อะไรคือหัวใจสำคัญของคณิตศาสตร์  เมื่อเราเรียนคณิตศาสตร์ไปจนถึงระดับมัธยมศึกษา เราควรได้สิ่งต่อไปนี้
  1. มีความรู้ใน คำศัพท์ บทนิยาม หลักการ ทฤษฎีบท  โครงสร้าง วิธีการ
  2. มีความเข้าใจ ในความคิดรวบยอดจนสามารถอธิบายได้ หรือเขียนได้ หรือยกตัวอย่างได้  แปลงปัญหาจากรูป  หนึ่งไปสู่รูปหนึ่งได้ ประมาณคำตอบได้ ระบุความสัมพันธ์ได้  ตรวจสอบผลที่เกิดได้
  3. มีทักษะต่าง ๆ ดังนี้  ทักษะการแก้ปัญหา การนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง การคิดอย่างมีเหตุผล การคิดคำนวณ  การวัด การประมาณ  การอ่านและแปลผลข้อมูล การนำเสนอข้อมูล การทำนาย  และการใช้คอมพิวเตอร์
  4.  มีความสามารถในการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้
     
เราจะมีวิธีเรียนคณิตศาสตร์อย่างไรให้ได้ดี
      เราต้องเริ่มฝึกฝนการเป็นผู้เรียนที่ดี

  1. เวลาฟังครู หรือเวลาอ่าน ต้อง คิด ถาม จด  ถ้าไม่เข้าใจควรจดคำถามไว้เพื่อคิดค้นคว้า หรือถามผู้รู้ต่อไป
  2. หมั่นดูหนังสือหรือทำการบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ ควรหามุมอ่านหรือทำการบ้านที่เหมาะสมกับตนเอง
  3. จัดเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เรียนมา หรืออ่านล่วงหน้าสิ่งที่จะเรียนต่อไป และถ้าปฏิบัติตามที่กำหนดได้ควรให้ รางวัลตัวเอง เช่น ได้ขนม ได้เล่น ได้ฟังเพลง ดูทีวี ได้เล่นกีฬา เป็นต้น ถ้าทำไม่ได้ตาม  กำหนดควรหาเวลาชดเชย
  4. ทบทวนความรู้กับเพื่อน อย่าหวงวิชา แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อย่าช่วยเหลือเพื่อนในทางที่ผิด เช่น ทุจริตเวลาสอบ หรือให้ลอกงานโดยไม่เข้าใจ
  5. ศึกษาด้วยตนเอง มิใช่ต้องเรียนจากครูเพียงอย่างเดียว การศึกษาด้วยตนเองจากตำราหลายๆ เล่ม ต้องทำ ความเข้าใจจดสาระสำคัญต่าง ๆ ลงในโน้ตย่อ จดสิ่งที่ไม่เข้าใจไว้ค้นคว้าต่อไป ถ้าต้องการเชี่ยวชาญ คณิตศาสตร์ ต้องหมั่นหาโจทย์แปลกใหม่มาทำมาก ๆ เช่นโจทย์แข่งขันเป็นต้น 
ทำอย่างไรเราจะจำได้ดี
          เราต้องเรียนด้วยความเข้าใจเสียก่อน จากนั้นเราต้องหมั่นทบทวน   ก่อนอื่นเราจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ การจำการลืมก่อน จากการศึกษาของนักจิตวิทยาเกี่ยวกับการจำการลืมของมนุษย์พบว่า คนเรามีอัตราการจำหรือลืมดังกราฟข้างล่างนี้
      จากการทดลองของนักจิตวิทยา พบว่าเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งวัน เราจะจำเรื่องราวที่ตนอ่านไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งของที่เหลือทุก  7 วัน   จนในที่สุดจะนึกไม่ออกเลย
           การที่จะให้สิ่งที่เรียนมาไปอยู่ติดตัวเราได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราควรกลับไปทบทวนทันทีที่เราเรียนในแต่ละวัน จากนั้นเราทิ้งช่วงไปทบทวนรวบยอดในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เพื่อมิให้เกิน 7 วัน จากนั้นเราทิ้งช่วงเป็น 2 สัปดาห์ควรทวนอีกครั้ง และเมื่อผ่านไป 1 เดือนควรทบเรารวบยอดทวนอีกครั้งตอนสอบกลางเทอม อย่าลืมว่าความรู้ใหม่ที่เรารับเข้าไปในแต่ละวันจะมีพอกพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ เราควรทำโน้ตย่อสาระสำคัญรวบรวมบทนิยาม สูตร กฎ และวิธีการ  เราทบทวนจากโน้ตย่อจะช่วยให้เราเสียเวลาทบทวนน้อยลง
ทำไมเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์
         มีหลายสาเหตุ บางคนไม่ชอบเพราะไม่ถนัด มันยากเกินไป ไม่ชอบคิด พวกนี้ไม่ค่อยจะประสบผลสำเร็จในการทำแบบฝึกหัด  มักทำไม่ได้หรือทำผิดบ่อย ๆ จึงท้อแท้ เบื่อหน่าย และเกลียดในที่สุด  บางคนไม่ชอบเพราะครูสอนไม่เข้าใจ สอนไม่สนุก ครูดุ จู้จี้ขี้บ่น ให้การบ้านเยอะ
        ทางแก้อยู่ที่ครูจะต้องสำรวจว่าเด็กไม่ชอบคณิตศาสตร์เพราะอะไร ครูต้องปรับปรุงการสอนทำของยากให้เป็นของง่าย ทำของน่าเบื่อหน่ายให้น่าสนุก และควรปรับปรุงบุคลิกให้ไม่ดุจนเกินไป ไม่เจ้าระเบียบมากจนเกินเหตุ การบ้านก็มีแต่พอควร เลือกให้เด็กทำสิ่งที่สำคัญและจำเป็นก่อน


          ถ้าเราเลือกครูไม่ได้ บังเอิญเราต้องเรียนกับครูที่สอนไม่รู้เรื่อง สอนไม่สนุก ดุ จู้จี้ขี้บ่น   เราต้องหาตำราหลาย ๆ เล่มมาศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เมื่อไม่เข้าใจให้ปรึกษาผู้รู้ ถามกันอธิบายกันในหมู่เพื่อน ๆ เราอดทนในที่สุดเราจะพบว่า เราเป็นคนเก่งคนหนึ่ง
บทเรียนคณิตศาสตร์อะไรที่มีปัญหามากที่สุด
        เรื่องที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ โจทย์ปัญหาทุกเรื่อง วิธีการเรียนเรื่องนี้ให้ได้ดีต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจโจทย์เสียก่อน มีคำศัพท์อะไรที่เราไม่รู้จักหรือลืม มีข้อความตอนใดที่เราไม่เข้าใจ เราต้องทำความเข้าใจก่อน  โจทย์ถามอะไร และโจทย์กำหนดอะไรมาให้บ้าง อาจวาดภาพช่วย อาจสร้างตารางช่วย
          ขั้นต่อไปวางแผนแก้ปัญหา และดำเนินการแก้ปัญหา และสุดท้ายเราต้องตรวจสอบคำตอบ ขั้นตอนที่กล่าวมานี้ แนะนำโดย จอร์จ โพลยา ได้รับความนิยมมากว่า 50 ปี
         ที่สำคัญเราควรฝึกการแก้ปัญหาที่หลากหลายเพื่อสะสมประสบการณ์ยุทธวิธีการแก้ปัญหา
            ตัวอย่างปัญหาในระดับมัธยมศึกษาที่เด็กในระดับประถมศึกษาก็แก้ได้  “ มีนกและหนูรวมกัน 15 ตัว นับขารวมกันได้ 40 ขา ถามว่ามีนกและหนูอย่างละกี่ตัว ”  เด็กระดับมัธยมศึกษาขึ้นไปมักจะใช้วิธีแก้สมการ เด็กระดับประถมศึกษาจะใช้วิธีวาดภาพ หัว 15 หัว แล้วเติมขาทีละ 2 ขา ได้ 30 ขา เหลือขาอีก 10 ขา นำไปเติมจะได้หนู 5 ตัว เด็กบางคนใช้วิธีลองผิดลองถูกเช่นสมมุติว่ามี นก 7 ตัว มีหนู 8 ตัว แล้วคำนวณขาว่าได้ 40 ขา หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ลดหรือเพิ่มจำนวนตัวสัตว์ไปเรื่อย ๆ ก็จะพบคำตอบซึ่งอาจช้า บางคนอาจสร้างตารางแจงนับทุกรูปแบบเริ่มตั้งแต่ นก 1 ตัว หนู 14 ตัว  จนถึงนก 14 ตัว หนู 1 ตัว แล้วตรวจสอบนับจำนวนขาจะได้คำตอบเช่นกัน


จะมีวิธีเตรียมตัวสอบอย่างไร
          วิธีหนึ่งสำหรับคนที่มีเวลาน้อย เริ่มด้วยการทบทวนบทนิยาม สูตร กฎ วิธีการจากโน้ตย่อ จากนั้นทบทวนวิธีการแก้ปัญหาจากโจทย์ปัญหาโดยนึกว่าแผนการแก้ปัญหาสำหรับโจทย์ข้อนี้จะเป็นอย่างไรแล้วตรวจสอบจากเฉลยที่เราทำแบบฝึกหัดไว้ เราไม่ต้องลงมือแก้ปัญหาจริง เพียงแต่คิดวิธีการโดยเฉพาะข้อยากเราต้องคิดก่อน  แต่ถ้าเรามีเวลามากเราก็อาจทบทวนโดยลงมือแก้ปัญหาอีกครั้งก็จะทำให้เราได้ฝึกฝนความแม่นยำ
คนที่เก่งคณิตศาสตร์จะมีประโยชน์อย่างไร
        คนที่เก่งคณิตศาสตร์มีประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง เพราะคณิตศาสตร์มิใช่เป็นเพียงราชินีของวิทยาศาสตร์ดังเช่นที่เกาส์นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวไว้ในอดีตเท่านั้น ปัจจุบันคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานของศาสตร์อีกหลายสาขาเช่น  วิศวกรรมศาสตร์  เศรษฐศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ เราลองนึกภาพถ้าเรามีเกษตรกรที่เก่งคณิตศาสตร์ เราคงจะได้ปุ๋ยสูตรใหม่ ๆ การกำจัดแมลงวิธีใหม่  หรือพืชพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพเหมาะกับบ้านเรา หรือการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทำเกษตรกรรมอย่างคุ้มค่า ตลอดจนแปรรูปผลิตผลทางเกษตรให้เป็นสินค้าที่จะนำรายได้สู่ครอบครัวหรือประเทศ เรามีคนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้น้อยมาก
       ประเทศชั้นนำของโลกให้ความสำคัญต่อคณิตศาสตร์อย่างยิ่ง บางประเทศพัฒนาเด็กจนสามารถมีเด็กเก่งคณิตศาสตร์ได้ถึงร้อยละ 40 เช่นสิงคโปร์ ไต้หวัน บางประเทศถ้าเห็นว่าคณิตศาสตร์ของประเทศตนแย่ลงเพียงเล็กน้อยก็จะทุ่มเทให้ความสำคัญเช่นสหรัฐอเมริกา แต่ประเทศเรามีคนเก่งคณิตศาสตร์ตามธรรมชาติปริมาณไม่เกินร้อยละ3 โดยที่ความเก่งนั้นเมื่อเทียบกับต่างประเทศเรายังอยู่ในอันดับท้าย ๆ เราให้ความสำคัญในด้านนี้น้อยเกินไป ประเทศเรามีนักคณิตศาสตร์ประมาณ 30 คน มีคนเล่าว่าเวียตนามมีถึง 600 คน ปัจจุบันเราต้องจ้างศาตราจารย์ทางคณิตศาสตร์ชาวเวียตนามมาสอนในมหาวิทยาลัย

ผศ.ดร.สมวงษ์ แปลงประสพโชค
ภาควิชาคณิตศาสตร์สถาบันราชภัฏพระนคร
กรรมการสมาคมคณิตศาสตร์แห่งประเทศไทยฯ
ที่ปรึกษาคณิตศาสตร์โรงเรียนปราโมชวิทยารามอินทรา


   คณิตคิดสนุก : ทายเบอร์มือถือ
           ลองเล่นดูนะค่ะ เจ๋งดี ไม่รู้คิดกันได้ไง 

        เช่น  เบอร์โทร  081-1234567 เอาเฉพาะเลข ตัวหลังนะ

        1) คีย์ ตัวเลข ตัวแรกของเบอร์มือถือคุณในเครื่องคิดเลข
        2) คูณ ด้วย 80
        3) บวก 1
        4) คูณ ด้วย 250
        5) บวก ด้วย ตัวเลข ตัวที่เหลือของเบอร์มือถือ
        6) บวก ด้วย ตัวเลข ตัวที่เหลือของเบอร์มือถืออีกครั้ง
        7) ลบ 250
        8) สุดท้าย หาร ด้วย 2

         ใช่เบอร์มือถือของคุณรึเปล่าเอ่ย ??